เม้ามอยมาตั้งกะปีก่อนว่า Infinix ไม่ทำมือถือ 5G เหรอ ล่าสุดเค้าทำแล้วนะครับ แถมจัดของแรงมาเลย Infinix Zero 5G มาพร้อมแรงบันดาลใจจากค่าย O หลากสีสัน โดดเด่นจอ IPS LCD 120Hz, ชิพ Dimensity 900 ฯลฯ กล้อง 48MP กับราคาไม่ถึง 10,000 บาท ! มาให้จับจองเป็นเจ้าของช่วงเดือนมีนาคมนี้
สเปค Infinix Zero 5G
- หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.78 นิ้ว (FHD+), รองรับการแสดงผล 120Hz
- ความจุ 128GB UFS 3.1 + MicroSD
- ชิพประมวลผล Mediatek Dimensity 900 + แรม 8GB
- ระบบ Android 11
- กล้องหลัก 48MP + Tele 2X 13MP + Depth
- กล้องหน้า 16MP
- แบตเตอรี่ 5000 mAh (ชาร์จเร็ว 33W)
แกะกล่อง Zero 5G มากับ Packaging ลวดลายใหม่ ดูแพงแหละ อุปกรณ์ข้างในแถมครบเหมือนเดิม ตัวเครื่อง, เคส TPU, วอลชาร์จ 33W, สาย Type-C และคู่มือการใช้งาน
เคส TPU แถมมาเป็นลวดลาย 5G ออกแบบโดย Oraimo แบรนด์อุปกรณ์เสริมในกลุ่ม Transsion Holding เครือเดียวกับ Infinix, Tecno
ขนาดบอดี้ไม่ใหญ่ครับ เทียบกับขนาดจอ 6.78 นิ้ว ใช้จอ IPS LCD แสดงผลสูงสุด 120Hz คุณภาพจอเกณฑ์กลางๆ แต่ความสว่างค่อนข้างต่ำ ออกกลางแจ้งต้องเร่งสุด ทัชสกรีนโอเค เล่นเกมสบาย ตรงกลางเจาะรูกล้องหน้า 16 ล้านพิคเซล
พอร์ตเชื่อมต่อครบ Type-C, หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และสแกนนิ้วบริเวณปุ่ม Power รุ่นนี้ลำโพง Mono ท้ายเครื่อง
ฝาหลังวัสดุกระจกเงา (สีดำ – ฟ้า) และวัสดุคล้ายหนัง (สีส้ม) ออกแบบต่างจาก Infinix ทุกรุ่นวางจำหน่าย มุมซ้ายบนคือกล้อง 48 ล้านพิคเซล (Triple-Camera) เมื่อใส่เคสแถมมา จะลงตัวพอดีครับ ส่วนตัวอยากเห็นสีส้มของจริง
ระบบภายในมาพร้อม Android 11 (XOS 10) เหมือน Infinix Note 11S การทำงานลื่นไหลกำลังดี แอปฯ ติดเครื่องเยอะ บางอันลบทิ้งได้ แต่บางตัวก็มีประโยชน์ เช่น Boomplay สตรีมมิ่งเพลงฟรี, Beez ทำเพลงเองจากจังหวะ Beat, Magic Line ถ่ายภาพ-วิดิโอแนว AR แชร์ลง Social ฯลฯ นอกจากนี้มีลูกเล่น Gesture, Multi-Window, App Clone มาครบ
โดยระบบสามารถเพิ่มแรมทิพย์ (MemFusion) สูงสุดถึง 5GB เป็น 11GB แต่จะเสียความจุเครื่องบางส่วน
การเชื่อมต่อ รองรับ 5G ทั้ง NSA/SA, WiFi 6, Bluetooth 5.2 เทียบเท่ามือถือ Flagship ตัด NFC ออก หลายคนไม่น่าจะได้ใช้อยู่แล้ว ใช้ WiFi Direct แชร์ไฟล์ข้ามเครื่องผ่าน XShare ทดแทน
กล้องหลักติดมา 48 ล้านพิคเซล (ISOCELL GM1) พ่วง Tele-Photo 13 ล้านพิคเซล (ISOCELL 3L2) กับ Macro ส่วนตัวคิดว่า Tele 2X มีประโยชน์แง่ของ Portrait, Street Photo ซึ่งมีโอกาสใช้งานมากกว่า Ultra-Wide โหมดใช้งานครบ ถ่ายคน ถ่ายกลางคืน บิวตี้ ฯลฯ และวิดิโอบันทึก 4K 30fps สูงสุด
กล้องหน้า 16 ล้านพิคเซล ถ่ายออกมาโอเคอยู่ครับ มี Portrait Mode และถ่าย 4K ได้ด้วย รอบนี้ใช้ของดีนะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Infinix Zero 5G | https://terabox.com/s/1SioufbDOLkRJfIf5AwKDmw
คะแนน Benchmark จัดมาเน้นๆ Dimensity 900 ฟาดไป 460k เทียบเท่า Snapdragon 778G ด้าน Storage พ่วง UFS 3.1 เกรดเดียวกับ Flagship อ่าา อย่าลืมว่ารุ่นนี้ราคาไม่ถึงหมื่นบาท
GPS จับสัญญาณรวดเร็ว ซื้อมาวิ่ง Delivery, ใช้งาน Navigation ได้ปกติ
สรุป
การใช้งานให้ประสบการณ์ ‘ดีกว่า‘ Infinix Note Series แง่ของความแรง Dimensity 900 5G แรงกว่า Snapdragon 695 อยู่ละ เล่นเกมกราฟฟิคสูง ไม่ต้องเค้นประสิทธิภาพมาก กล้องคุณภาพกลางๆ ดีตรง Tele-Lens ใช้งานได้จริง คมชัด เหมาะกับภาพแนวสตรีท – Portrait บอดี้ออกแบบสวย บาง สีส้มสวยสุดยอด อยากเห็นตัวจริง !
ข้อจำกัดมีเรื่องลำโพง Mono ขณะที่คู่แข่งยัด Stereo มาให้, จอไม่สว่าง กับ Android 12 อัพเดทรอถึง Q3/2022 ผมว่านานไปนิด
ราคา : 7,999 บาท (แรม 8GB+128)
วาปไปซื้อ – https://bit.ly/3uotQmQ
มีให้เลือก 3 สีสันคือ Cosmic Black, Horizon Blue และ Skylight Orange หากเทียบกับ Tecno Pova 5G (ราคา 8,990 บาท) ต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ คู่แข่ง Infinix Zero 5G ถือว่าเยอะไม่น้อย เช่น realme 9 Pro, Poco X4 Pro 5G, Galaxy A32 5G ฯลฯ ชอบรุ่นไหนต้องลองตัดสินใจกันอีกที