อาจไม่เป็นที่แพร่หลายในไทยสำหรับ Rent to Own (เช่าซื้ออสังหาฯ) อย่างไรก็ตาม จากกฎเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อกู้บ้านของธนาคาร ของกลุ่มอาชีพอิสระ – ธุรกิจส่วนตัว เข้มงวดอย่างมาก ทำให้เทรนด์ ‘เช่าซื้อ‘ อสังหาฯ เป็นที่นิยม หลายคนเรียกว่า ‘บ้านผ่อนตรงกับเจ้าของ’ เปิดโอกาสให้อาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ขาย ฟรีแลนซ์ พริตตี้ MC เทรดหุ้น ฯลฯ เป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ภายใต้ข้อตกลง – สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย

ตามจริง Real Estate Developer อยากเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะมีกำลังจ่าย – หาเงินเก่ง แค่เข้าถึงสินเชื่อปกติยาก ฝั่งแบงค์อยากปล่อยก็จริง แต่มี ‘ความเสี่ยงสูง’ เกิด NPL เพราะอาชีพการงานไม่มั่นคง เลยชะงักงันแบบนี้
อย่างไรก็ตาม Developer บางรายเริ่มออกแคมเปญ Rent to Own เช่าซื้อระยะสั้นแล้ว เช่น


เสนาเช่าซื้อ
จาก Sena Development ทำผ่านบริษัทฯ ย่อย ลูกค้าต้องส่งเอกสารประเมินความพร้อมก่อน แล้วทำสัญญาเช่าซื้อระยะเวลา 3 ปี (โครงการที่กำหนด) ระหว่างนี้บริษัท จะดูแลเรื่องจัดการบัญชี เครดิต จนครบ 3 ปี นำเงินที่จ่ายผ่านมาทั้งหมด เป็นส่วนลดหน้าสัญญา และยื่นกู้ธนาคารต่อไป
ปัจจุบันเริ่มกับคอนโดฯ ราคาเฉลี่ย 2-3 ล้านบาท อนาคตคาดว่าบ้าน – ทาวน์โฮม จะเข้าแคมเปญด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม – https://www.sena.co.th/rent-to-own/


Pruksa Pass
ฝั่งพฤกษาทำเหมือนกับ Sena ครับ ขั้นตอนต่างกันหน่อยนึงคือ ลูกค้าต้องยื่นกู้ธนาคารก่อน ถ้าไม่ผ่านค่อยมาคุยกัน ทำสัญญาเช่าซื้อ (สูงสุด) 3 ปี มีเงื่อนไขต้องดูแลสภาพห้องตามที่กำหนด และอื่นๆ ตามภาพ ซึ่งระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนเลย
รายละเอียดเพิ่มเติม – https://www.pruksa.com/promotion/pruksapass

Juzmatch
เป็นรายแรกๆ ที่นำรูปแบบ Rent to Own ให้บริการ บริษัทฯ เป็น Startups ลงทุนโดย Sansiri เป็นตัวกลางจับคู่ระหว่าง Investor ที่มีคอนโด ทาวน์โฮม บ้าน สามารถนำมาให้เช่าซื้อ / ขายตามเงื่อนไข กับ Buyer คือลูกค้าที่มีอาชีพอิสระ ต้องการเป็นเจ้าของบ้านนั่นเอง
รายละเอียดเพิ่มเติม – https://www.juzmatch.com/
โดยเรทราคาบ้าน – ค่าเช่าที่ต้องจ่าย ขึ้นอยู่กับตกลงกัน ปกติจะแพงกว่าซื้อขาย – เช่าปกติ เพราะมีเงื่อนไขมากกว่า และฝั่งผู้ขายมีความเสี่ยงอาจเจอลูกค้าไม่รับผิดชอบ / ชักดาบ / วินัยการเงินไม่ดี / ดูแลรักษาบ้านไม่เหมาะสมเช่นกัน ส่วน สัญญากับ Developer มีความเป็นมาตรฐานกว่า ทำกับบริษัทฯ โดยตรง คัดกรองเข้มงวด และ Asset นำมาทำแคมเปญมีราคาไม่สูงนัก
ฝั่งของผู้เช่าซื้อ หลังทำสัญญาแล้ว ควรสร้างเครดิต (Build Statement) เพิ่มรายได้ ลดหนี้สิน และ รวบรวมเอกสารทวิ 50 (หากรับงานจากบริษัท) เพื่อยื่นขอสินเชื่อครั้งต่อไป อาจใช้เวลาอย่างน้อย 6-10 เดือน หลังจากยื่นกู้ครั้งก่อนหน้า ปกติทางธนาคารจะให้คำแนะนำครับ

ข้อดี
- กลุ่มอาชีพอิสระเป็นเจ้าของบ้าน / คอนโดง่ายขึ้น อาจไม่ต้องยื่นขอสินเชื่อธนาคารเลย หรือยอดน้อยลง เปรียบเสมือนผ่อนดาวน์ระยะยาว ทำให้กู้ผ่านง่าย ระหว่างทาง Developer เข้ามาดูแลการสร้างเครดิตด้วย
- ล็อคราคา Asset ไว้ ณ วันทำสัญญาเช่าซื้อ เพราะการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต้นทุนสูงขึ้น ราคาขายย่อมแพงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะการซื้อจาก Developer โดยตรง
- เพิ่มโอกาสหารายได้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยเฉพาะ Creator, Streamer ที่มีบ้านแล้วทำงานสะดวกขึ้นเยอะ หรือแม่ค้าออนไลน์ เอาบ้านไว้สต๊อกของ ขยายธุรกิจมากกว่าเดิม
จุดด้อย
- สัญญา เงื่อนไข จุกจิกพอสมควร เทียบกับการเช่าปกติ / ยื่นขอสินเชื่อ – โอนกรรมสิทธิ
- ผู้เช่าซื้อ ไม่สามารถต่อเติม ทำอะไรกับตัวบ้าน, คอนโดฯ ได้มากนัก ตามรายละเอียดสัญญา เนื่องจากกรรมสิทธิเป็นของ Owner, Developer
- ต้นทุนการซื้อค่อนข้างสูงกว่ายื่นสินเชื่อขั้นตอนปกติ เนื่องจาก Investor ต้องคิดเผื่อกำไร ต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายหลายอย่างเผื่อไว้ อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับการเจรจาตกลงกัน
- ไม่สามารถเลือกตำแหน่ง ขนาด แปลง ยูนิตที่ต้องการ
ภาพรวมประมาณนี้กับ Rent to Own ถือว่าเป็นตัวเลือกของอาชีพอิสระ ต้องการมีบ้านต่อยอดธุรกิจ การงานดีขึ้นกว่าเดิม มีทั้งข้อดีข้อเสีย ต้องลองชั่งน้ำหนักให้ดี